จังหวัดบุรีรัมย์ในช่วงนี้อาจจะเป็นจังหวัดที่ไม่มีผู้ใดไม่ทราบ เพราะว่านอกเหนือจากจะมีสนามฟุตบอลใหญ่ยักษ์สุดยอดใส่คนได้กว่าเกือบจะ 30,000 คนแล้วนั้น...
ยังมีความศักดิ์สิทธิ์แล้วก็มนยี่ห้อที่สุริยวรมันที่เป็นเสน่ห์ของจังหวัดบุรีรัมย์ที่นี้
วนํรุง (วนัมรุง) หรือ พนมรุ้งกินน้ำ มีความหมายว่า เทือกเขาใหญ่ มาจากภาษาเขมร และก็เรื่องราวของ “วังหินพนมรุ้งกินน้ำ” ได้ถูกเล่าขานกระทั่งเปลี่ยนเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งของถิ่นอีสานใต้
ยังมีความศักดิ์สิทธิ์แล้วก็มนยี่ห้อที่สุริยวรมันที่เป็นเสน่ห์ของจังหวัดบุรีรัมย์ที่นี้
วนํรุง (วนัมรุง) หรือ พนมรุ้งกินน้ำ มีความหมายว่า เทือกเขาใหญ่ มาจากภาษาเขมร และก็เรื่องราวของ “วังหินพนมรุ้งกินน้ำ” ได้ถูกเล่าขานกระทั่งเปลี่ยนเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งของถิ่นอีสานใต้
ซึ่งวังหินพนมรุ้งกินน้ำนั้นตั้งอยู่บนยอดดอยพนมรุ้งกินน้ำ เป็นปากปล่องภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว อยู่ภายในเขตพื้นที่บ้านตาเป๊ก อำเภอสรรเสริญ จังหวัดจังหวัดบุรีรัมย์
เป็นโบราณสถานในศิลป์เขมรโบราณที่ยังมีความสมบูรณ์รวมทั้งยังคงความงาม มีภูมิทัศน์ที่สวย
149971
เป็นโบราณสถานในศิลป์เขมรโบราณที่ยังมีความสมบูรณ์รวมทั้งยังคงความงาม มีภูมิทัศน์ที่สวย
149971
แล้วก็ยังมีการเกิดทางธรรมชาติที่ดวงอาทิตย์ขึ้นและก็ตกแสงตะวันส่องทะลุ 15 ช่องประตูของวังพนมรุ้งกินน้ำ ทุกๆปีจะมีการเกิดดังที่กล่าวมาแล้ว 4 ครั้ง
วังพนมรุ้งกินน้ำทำขึ้นในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย ซึ่งเชื่อถือพระศิวะเป็นเทวดาสูงสุด โดยเหตุนี้เขาพนมรุ้งกินน้ำก็เลยเปรียบได้เสมือนดั่งเขาไกรลาสที่ประทับของเทวดาพระศิวะ
วังประธาน ก่อด้วยหินทรายสีชมพู เช้าใจกันว่าสร้างโดย พระผู้เป็นเจ้านเรนทราทิตย์ เป็นหัวหน้าการปกครองชุมชนที่มีพระราชวังพนมรุ้งกินน้ำเป็นศูนย์กลาง ด้านในตรงกลาง เรียกว่า "ห้องครรภคฤหะ"
เป็นที่ตั้งรูปยกย่องที่สำคัญที่สุดเป็น "ศิวลึงค์" ซึ่งแทนองค์พระศิวะ
เป็นที่ตั้งรูปยกย่องที่สำคัญที่สุดเป็น "ศิวลึงค์" ซึ่งแทนองค์พระศิวะ
สิ่งจำเป็นอีกอย่างของพระราชวังพนมรุ้งกินน้ำก็คือภาพสลัก พระนารายณ์บรรทมสินธุ์ ทรงอยู่ที่ทับหลังของมณฑป ด้านทิศตะวันออกของวังประธานวังพนมรุ้งกินน้ำ
ซึ่งได้หายไปตั้งแต่ปี 2507-2508 ถัดมามีผู้ไปพบที่สถาบันศิลป์นครชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ในภาวะลวดลายขอบขวาของทับหลังถูกกะเทาะออกไปครึ่งเดียว
รัฐบาลไทยได้ใช้ความมานะบากบั่นทุกแนวทางที่จะขอ “ทับหลังท้องนารายณ์บรรทมสินธุ์” กลับมาประเทศไทย กระทั่งท้ายที่สุดก็ได้ รับคืนตอนวันที่ 9 พ.ย. 2531
ซึ่งได้หายไปตั้งแต่ปี 2507-2508 ถัดมามีผู้ไปพบที่สถาบันศิลป์นครชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ในภาวะลวดลายขอบขวาของทับหลังถูกกะเทาะออกไปครึ่งเดียว
รัฐบาลไทยได้ใช้ความมานะบากบั่นทุกแนวทางที่จะขอ “ทับหลังท้องนารายณ์บรรทมสินธุ์” กลับมาประเทศไทย กระทั่งท้ายที่สุดก็ได้ รับคืนตอนวันที่ 9 พ.ย. 2531
การเดินทางไปที่สวนวังพนมรุ้งกินน้ำ
สามารถเลือกเดินทางได้ 2 ทางออกมาจากตัวจังหวัดบุรีรัมย์ ดังต่อไปนี้
1.ใช้ทางหลวงแผ่นดินเลข 218 (จังหวัดบุรีรัมย์-นางรอง) เป็นระยะทางโดยประมาณ 50 กม. หลังจากนั้นให้เลี้ยวซ้าย ไปตามทางหลวง แผ่นดินเลขลำดับ 24(สีขนคิ้ว-จังหวัดอุบลราชธานี)
ไปจนกระทั่งหมู่บ้านตะโก โดยประมาณ 14 กิโล แล้วจึงเลี้ยวขวาเข้าถนนหลวงเลข 2117 ผ่านบ้านตาเป๊ก อำเภอสรรเสริญอีกราวๆ 12 กม. ก็กำลังจะถึงสวนประวัติศาสตร์พนมรุ้งกินน้ำ
2.ใช้ทางหลวงแผ่นดินลำดับที่ 219 (จังหวัดบุรีรัมย์-กระคนชัย) เป็นระยะทางราว 44 กม. ถึงตัวอำเภอกระคนชัย จะมองเห็นทางแยกที่จะไปสวนประวัติศาสตร์พนมรุ้งกินน้ำ
ซึ่งใช้เวลาเดินทางอีกโดยประมาณ 21 กิโล โดยใช้ถนนหลวงลำดับที่ 2075 แล้วก็เลี้ยวขวาเข้าถนนหลวงเลข 2117 ก็จะ
สามารถเลือกเดินทางได้ 2 ทางออกมาจากตัวจังหวัดบุรีรัมย์ ดังต่อไปนี้
1.ใช้ทางหลวงแผ่นดินเลข 218 (จังหวัดบุรีรัมย์-นางรอง) เป็นระยะทางโดยประมาณ 50 กม. หลังจากนั้นให้เลี้ยวซ้าย ไปตามทางหลวง แผ่นดินเลขลำดับ 24(สีขนคิ้ว-จังหวัดอุบลราชธานี)
ไปจนกระทั่งหมู่บ้านตะโก โดยประมาณ 14 กิโล แล้วจึงเลี้ยวขวาเข้าถนนหลวงเลข 2117 ผ่านบ้านตาเป๊ก อำเภอสรรเสริญอีกราวๆ 12 กม. ก็กำลังจะถึงสวนประวัติศาสตร์พนมรุ้งกินน้ำ
2.ใช้ทางหลวงแผ่นดินลำดับที่ 219 (จังหวัดบุรีรัมย์-กระคนชัย) เป็นระยะทางราว 44 กม. ถึงตัวอำเภอกระคนชัย จะมองเห็นทางแยกที่จะไปสวนประวัติศาสตร์พนมรุ้งกินน้ำ
ซึ่งใช้เวลาเดินทางอีกโดยประมาณ 21 กิโล โดยใช้ถนนหลวงลำดับที่ 2075 แล้วก็เลี้ยวขวาเข้าถนนหลวงเลข 2117 ก็จะ